ผู้ผลิตขายส่ง โพสประกาศฟรี รองรับ youtube

หมวดหมู่ทั่วไป => พูดคุยเรื่องทั่วไป => ข้อความที่เริ่มโดย: siritidaphon ที่ วันที่ 16 กรกฎาคม 2025, 13:07:01 น.

หัวข้อ: หมอออนไลน์: ฝีตับอะมีบา (Amebic Liver Abscess - ALA)
เริ่มหัวข้อโดย: siritidaphon ที่ วันที่ 16 กรกฎาคม 2025, 13:07:01 น.
หมอออนไลน์: ฝีตับอะมีบา (Amebic Liver Abscess - ALA) (https://doctorathome.com/)

ฝีตับอะมีบา (Amebic Liver Abscess - ALA) คือภาวะที่เกิดจากการติดเชื้อปรสิตอะมีบาชนิด Entamoeba histolytica ที่ตับ ทำให้เกิดการสะสมของหนองในเนื้อเยื่อตับ เป็นภาวะแทรกซ้อนนอกลำไส้ที่พบบ่อยที่สุดของโรคบิดอะมีบา (Amebiasis) ซึ่งเป็นการติดเชื้อในลำไส้ใหญ่

สาเหตุของฝีตับอะมีบา

ฝีตับอะมีบาเกิดจากการติดเชื้อปรสิต Entamoeba histolytica ที่เข้าสู่ร่างกายจากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนซีสต์ (Cysts) ของเชื้ออะมีบา (ซึ่งมักมาจากอุจจาระของมนุษย์ที่ติดเชื้อ)

เมื่อซีสต์เข้าสู่ลำไส้เล็กจะฟักตัวเป็นโทรโฟซอยต์ (Trophozoites) ซึ่งเป็นระยะที่เคลื่อนที่ได้และก่อให้เกิดโรค หากโทรโฟซอยต์เหล่านี้บุกรุกลงไปในผนังลำไส้ใหญ่และเข้าสู่กระแสเลือด ก็จะเดินทางผ่านหลอดเลือดดำพอร์ทัล (Portal Vein) ไปยังตับ ซึ่งเป็นอวัยวะแรกที่เลือดจากลำไส้ไหลผ่าน เมื่อเชื้อไปถึงตับก็จะเริ่มทำลายเซลล์ตับ ทำให้เกิดการอักเสบ และนำไปสู่การก่อตัวของโพรงหนองขึ้นมา

อาการของฝีตับอะมีบา

อาการมักจะค่อยเป็นค่อยไปภายใน 1-2 สัปดาห์ และอาจไม่รุนแรงเท่าฝีในตับจากเชื้อแบคทีเรีย อาการที่พบบ่อยได้แก่:

ไข้: มักเป็นไข้สูง หรือไข้ต่ำๆ เป็นๆ หายๆ อาจมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย

ปวดท้อง: มักปวดตื้อๆ หรือปวดบิดเกร็งบริเวณใต้ชายโครงขวา (ตำแหน่งของตับ) อาการปวดอาจร้าวไปที่ไหล่ขวา หรือในบางรายอาจปวดบริเวณลิ้นปี่หากฝีอยู่ในตับกลีบซ้าย

อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และน้ำหนักลด

คลื่นไส้ อาเจียน: พบได้ในบางราย

ท้องร่วง หรือท้องผูก: ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการท้องเสีย หรือเคยมีประวัติเป็นโรคบิดอะมีบา (ถ่ายเป็นมูกปนเลือด) มาก่อน

ตับโต กดเจ็บ: แพทย์อาจคลำพบว่าตับมีขนาดใหญ่ขึ้นและเจ็บเมื่อกด

ดีซ่าน (ตัวเหลือง ตาเหลือง): พบได้ไม่บ่อย (ประมาณ 10-15% ของผู้ป่วย) มักเกิดในกรณีที่ฝีมีขนาดใหญ่มาก หรือมีหลายฝี จนไปกดทับท่อน้ำดี

การวินิจฉัย

การวินิจฉัยฝีตับอะมีบาต้องอาศัยหลายวิธีร่วมกัน:

ประวัติและอาการ: แพทย์จะซักประวัติการเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคบิดอะมีบา หรือประวัติการดื่มน้ำ/รับประทานอาหารที่ไม่สะอาด รวมถึงอาการที่เกิดขึ้น

การตรวจเลือด:

CBC (Complete Blood Count): อาจพบจำนวนเม็ดเลือดขาวสูงขึ้น (Leukocytosis)

การตรวจการทำงานของตับ (Liver Function Tests): อาจพบค่าเอนไซม์ตับ (Transaminases) และ Alkaline Phosphatase สูงขึ้น

การตรวจทางซีโรโลยี (Serologic Tests): เป็นการตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อ Entamoeba histolytica ในเลือด ซึ่งมักให้ผลบวกในผู้ป่วยฝีตับอะมีบาเกือบทุกราย และเป็นวิธีการวินิจฉัยที่สำคัญ

การตรวจภาพถ่ายทางรังสี:

อัลตราซาวนด์ (Ultrasound): เป็นการตรวจเบื้องต้นที่นิยมใช้มากที่สุด ช่วยให้เห็นตำแหน่ง ขนาด และลักษณะของฝีในตับได้ชัดเจน ฝีตับอะมีบามักเป็นฝีเดี่ยวขนาดใหญ่และส่วนใหญ่อยู่ที่ตับกลีบขวา

CT Scan (เอกซเรย์คอมพิวเตอร์) หรือ MRI (คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า): ให้ภาพที่มีรายละเอียดสูงขึ้น และช่วยแยกฝีตับอะมีบาออกจากฝีตับจากแบคทีเรีย หรือก้อนเนื้ออื่นๆ ในตับได้

การเจาะดูดหนองจากฝี: ในบางกรณีที่การวินิจฉัยยังไม่ชัดเจน หรือฝีมีขนาดใหญ่มาก แพทย์อาจพิจารณาเจาะดูดหนองออกมาตรวจทางห้องปฏิบัติการ หนองของฝีตับอะมีบามักจะมีลักษณะข้น เหนียว สีน้ำตาลแดงคล้าย "ช็อกโกแลตซอส" หรือ "สีกะปิ" และมักไม่มีกลิ่นเหม็น หากส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์อาจพบโทรโฟซอยต์ของอะมีบาได้ แต่บางครั้งอาจพบได้ยากเนื่องจากเชื้อส่วนใหญ่มักอยู่ที่ขอบโพรงหนอง

การรักษา

การรักษาฝีตับอะมีบาจะเน้นที่การใช้ยาฆ่าเชื้ออะมีบาเป็นหลัก และอาจมีการระบายหนองร่วมด้วยในบางกรณี:

ยาฆ่าเชื้ออะมีบา:

Metronidazole: เป็นยาหลักที่ใช้ในการรักษาฝีตับอะมีบา โดยจะให้ยาในขนาดสูงทางหลอดเลือดดำ หรือรับประทาน เป็นระยะเวลา 7-10 วัน

ตามด้วยยาฆ่าซีสต์: หลังจากรักษาด้วย Metronidazole จนอาการดีขึ้นแล้ว แพทย์มักจะให้ยาฆ่าซีสต์ (เช่น Diloxanide furoate หรือ Paromomycin) เพื่อกำจัดเชื้ออะมีบาที่อาจยังหลงเหลืออยู่ในลำไส้ และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ

การระบายหนอง (Aspiration หรือ Drainage):

ไม่จำเป็นต้องระบายหนองในผู้ป่วยทุกราย หากฝีมีขนาดเล็กและตอบสนองต่อยาดี

ข้อบ่งชี้ในการระบายหนอง:

ฝีมีขนาดใหญ่มาก (มักจะใหญ่กว่า 5-10 ซม.) เพื่อลดความเสี่ยงที่ฝีจะแตก

อาการไม่ดีขึ้นหลังจากได้รับยาต้านอะมีบาไปแล้ว 3-5 วัน

สงสัยว่ามีฝีตับจากแบคทีเรียร่วมด้วย

ฝีอยู่ใกล้กับเยื่อหุ้มปอด หรือเยื่อหุ้มหัวใจ (เพื่อป้องกันการแตกเข้าอวัยวะสำคัญ)

ฝีในตับกลีบซ้าย (เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะแตกเข้าเยื่อหุ้มหัวใจ)

การระบายหนองมักทำโดยการใช้เข็มเจาะผ่านผิวหนังเข้าไปยังฝีโดยใช้ภาพอัลตราซาวนด์หรือ CT Scan ช่วยนำทาง

ภาวะแทรกซ้อน

หากไม่ได้รับการรักษา หรือรักษาล่าช้า ฝีตับอะมีบาอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้แก่:

ฝีแตก: เป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงที่สุด ฝีอาจแตกทะลุเข้าสู่:

ช่องเยื่อหุ้มปอด (Pleural Cavity): ทำให้เกิดหนองในช่องเยื่อหุ้มปอด (Empyema) หรือปอดอักเสบ

ช่องท้อง (Peritoneal Cavity): ทำให้เกิดเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis)

เยื่อหุ้มหัวใจ (Pericardial Cavity): ทำให้เกิดเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ (Pericarditis) ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต

การติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน: ฝีอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ทำให้การรักษายากขึ้น

การป้องกัน

การป้องกันฝีตับอะมีบาทำได้โดยการป้องกันการติดเชื้อบิดอะมีบา ซึ่งเน้นที่สุขอนามัยที่ดี:

ล้างมือให้สะอาด: โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ

ดื่มน้ำสะอาด: ควรดื่มน้ำต้มสุก หรือน้ำดื่มบรรจุขวดที่ได้มาตรฐาน

รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ: หลีกเลี่ยงอาหารดิบ อาหารสุกๆ ดิบๆ และอาหารที่ไม่สะอาด

ล้างผักและผลไม้ให้สะอาด: โดยเฉพาะที่รับประทานสด

หากคุณมีอาการที่น่าสงสัยว่าเป็นฝีตับอะมีบา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีไข้ ปวดท้องชายโครงขวา หรือมีประวัติบิดอะมีบา ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงทีครับ