ผู้เขียน หัวข้อ: โรคแผลถลอกในช่องหู  (อ่าน 112 ครั้ง)

siritidaphon

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 241
  • ลงประกาศฟรี ลงโฆษณาฟรี โปรโมทสินค้าฟรี ซื้อ ขาย
    • ดูรายละเอียด
โรคแผลถลอกในช่องหู
« เมื่อ: วันที่ 19 กรกฎาคม 2024, 11:24:33 น. »
โรคแผลถลอกในช่องหู

แผลถลอกในช่องหู ในที่นี้หมายถึงช่องหูชั้นนอกเกิดแผลถลอก หากปล่อยปละละเลย อาจทำให้หูชั้นนอกเกิดการติดเชื้ออักเสบรุนแรงได้ มักพบในผู้ที่ชอบแคะหูบ่อย


สาเหตุ

มักเกิดจากการแคะหูแรง ๆ หรือทำอย่างผิด ๆ ทำให้ผิวหนังในบริเวณรูหูเกิดเป็นแผลถลอก


อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหู หูอื้อ และอาจมีเลือดหรือน้ำเหลืองไหลออกจากหู


ภาวะแทรกซ้อน

อาจมีการติดเชื้ออักเสบ กลายเป็นหูชั้นนอกอักเสบได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและการใช้เครื่องส่องหูตรวจ พบรอยถลอกในรูหู


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

ถ้าเป็นไม่มาก แผลถลอกอาจหายได้เองภายใน 2-3 วัน แต่ควรระวังรักษาความสะอาด อย่าลงดำน้ำ หรือเล่นน้ำในสระหรือแม่น้ำลำคลอง อาจใช้ไม้พันสำลีชุบน้ำยาโพวิโดนไอโอดีนทาวันละ 2-3 ครั้ง

ถ้าปวดให้ยาแก้ปวด

ถ้ามีอาการติดเชื้อ ให้ยาปฏิชีวนะ (เช่น ไดคล็อกซาซิลลิน, อีริโทรไมซิน) 5-7 วัน


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดหู มีเลือดหรือน้ำเหลืองซึมออกจากหู ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นแผลถลอกในช่องหู ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    งดการลงเล่นน้ำ ดำน้ำ หรือว่ายน้ำในสระหรือแม่น้ำลำคลอง
    เวลาอาบน้ำ ใช้สำลีหรือวัสดุอุดรูหู ป้องกันไม่ให้น้ำเข้าหู 


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 2-3 วัน
    มีอาการไข้ ปวดหูมากขึ้น หรือหูน้ำหนวกไหล
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

หลีกเลี่ยงการใช้ไม้หรือสิ่งอื่น ๆ แคะหู เพราะนอกจากไม่จำเป็นแล้ว ยังอาจทำให้เกิดแผลถลอกและติดเชื้ออักเสบได้


ข้อแนะนำ

แผลถลอกในช่องหู ส่วนใหญ่มีอาการเพียงเล็กน้อยและหายได้เอง โดยไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ

ส่วนน้อยอาจเกิดการติดเชื้อกลายเป็นหูชั้นนอกอักเสบรุนแรงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน หรือเอดส์