คุณสมบัติ ผ้ากันไฟที่ใช้ได้ยาวนานก็กลับเสื่อมสภาพลง เพราะอะไรผ้ากันไฟที่ออกแบบมาให้ใช้ได้ยาวนานก็ยังคงเสื่อมสภาพลงได้ตามกาลเวลาและการใช้งาน เนื่องจากปัจจัยหลายประการที่ส่งผลกระทบต่อคุณสมบัติทางกายภาพและเคมีของเส้นใยและสารเคลือบ นี่คือสาเหตุหลัก ๆ ครับ:
การสัมผัสกับความร้อนสูงและเปลวไฟซ้ำ ๆ (Repeated Heat & Flame Exposure):
แม้ผ้ากันไฟจะทนทานต่อความร้อนสูง แต่การสัมผัสกับอุณหภูมิที่ใกล้เคียงกับขีดจำกัดสูงสุดของผ้า หรือการสัมผัสกับเปลวไฟและสะเก็ดไฟอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง จะทำให้โครงสร้างของเส้นใยอ่อนแอลงได้
เส้นใยอาจเกิดการเปราะ แข็งกระด้าง หรือสูญเสียความยืดหยุ่น ทำให้ประสิทธิภาพในการกั้นความร้อนและทนทานต่อการฉีกขาดลดลง
ความเสียหายทางกายภาพ (Physical Damage):
การฉีกขาด/การเจาะ: การถูกของมีคมบาด, การเสียดสีกับพื้นผิวหยาบ, การกระแทก หรือการลากถูอย่างรุนแรง สามารถทำให้ผ้าฉีกขาดหรือเป็นรูได้ง่ายขึ้นเมื่อใช้งานไปนานๆ
การสึกหรอ: การใช้งานซ้ำๆ การพับเก็บ การคลี่ออก การเคลื่อนย้าย ทำให้เกิดการสึกหรอของเส้นใยและโครงสร้างผ้าโดยธรรมชาติ
การยุบตัว/บี้แบน: หากเป็นผ้ากันไฟที่ใช้เป็นฉนวนกันความร้อนแล้วถูกกดทับหรือยุบตัวเป็นเวลานาน โครงสร้างของฉนวนที่กักเก็บอากาศจะเสียหาย ทำให้ประสิทธิภาพในการกันความร้อนลดลง
การปนเปื้อน (Contamination):
ฝุ่นและสิ่งสกปรก: ฝุ่น คราบเขม่า หรือสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่บนผิวผ้าเป็นเวลานาน สามารถลดประสิทธิภาพการสะท้อนความร้อนของผ้ากันไฟชนิดที่มีฟอยล์หรือสารเคลือบเงาได้
น้ำมัน/สารเคมี: การสัมผัสกับน้ำมัน จาระบี สารเคมี หรือของเหลวอื่นๆ ที่อาจซึมเข้าสู่เนื้อผ้า (โดยเฉพาะชนิดที่ไม่ได้เคลือบสารป้องกัน) อาจทำลายโครงสร้างของเส้นใยหรือสารเคลือบ ทำให้คุณสมบัติการกันไฟลดลง
การเสื่อมสภาพของสารเคลือบ (Degradation of Coatings):
ผ้ากันไฟหลายชนิดมีการเคลือบสารพิเศษ (เช่น ซิลิโคน, ยางนีโอพรีน, เทฟลอน) เพื่อเพิ่มคุณสมบัติกันน้ำ ลดการระคายเคือง หรือเพิ่มความแข็งแรง
สารเคลือบเหล่านี้สามารถเสื่อมสภาพได้ตามกาลเวลา การสัมผัสกับความร้อน แสงแดด สารเคมี หรือการเสียดสี ทำให้สารเคลือบหลุดลอก แตก ร้าว หรือกลายเป็นผง ซึ่งจะส่งผลให้คุณสมบัติพิเศษที่เพิ่มเข้ามาหายไป และเส้นใยหลักของผ้าอาจสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมโดยตรง ทำให้เสื่อมสภาพเร็วขึ้น
การสัมผัสกับรังสียูวีและสภาพอากาศ (UV Exposure & Weathering):
สำหรับผ้ากันไฟที่ใช้งานกลางแจ้ง หรือโดนแสงแดดโดยตรงเป็นเวลานาน รังสียูวีสามารถทำลายพันธะเคมีในเส้นใยและสารเคลือบ ทำให้ผ้าซีดจาง เปราะบาง และเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
ความชื้น ฝน ลม และการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิที่รุนแรงก็เป็นปัจจัยที่เร่งการเสื่อมสภาพได้เช่นกัน
การจัดเก็บที่ไม่ถูกต้อง (Improper Storage):
การเก็บผ้ากันไฟในที่อับชื้น โดนแสงแดดโดยตรง มีสัตว์รบกวน หรือเก็บไม่เรียบร้อยทำให้ผ้าพับงอจนเกิดรอยหัก หรือถูกกดทับ ก็สามารถทำให้ผ้าเสื่อมสภาพได้เร็วกว่าที่ควร
คุณภาพของวัสดุเริ่มต้น (Initial Material Quality):
ผ้ากันไฟแต่ละเกรดและแต่ละผู้ผลิตมีคุณภาพของเส้นใยและสารเคลือบที่แตกต่างกัน ผ้าคุณภาพต่ำกว่าอาจมีอายุการใช้งานสั้นกว่า แม้จะใช้งานภายใต้สภาวะเดียวกัน
การสังเกตสัญญาณการเสื่อมสภาพ:
สีของผ้าเปลี่ยนไป: มีสีซีดจาง หรือมีจุดด่างดำ
พื้นผิวของผ้าเปลี่ยนไป: มีรอยแตก รอยร้าว ของสารเคลือบ, เนื้อผ้าแข็งกระด้าง, หรือเส้นใยเริ่มหลุดลุ่ย
มีรูหรือรอยฉีกขาด: เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าผ้าเริ่มไม่มีประสิทธิภาพแล้ว
เกิดอาการคันง่ายขึ้น: โดยเฉพาะผ้าใยแก้วที่เคยเคลือบสารแล้วสารเคลือบเสื่อมสภาพ อาจทำให้เส้นใยฟุ้งกระจายและระคายเคืองง่ายขึ้น
การตรวจสอบสภาพผ้ากันไฟอย่างสม่ำเสมอ และการเปลี่ยนผ้าเมื่อพบสัญญาณการเสื่อมสภาพเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อรักษาประสิทธิภาพการป้องกันอัคคีภัยและความปลอดภัยในการทำงาน